เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ม.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้ามันมีหัวใจ มันจะเป็น ถ้าคนมีน้ำใจ ความคิดของเรา การกระทำ บุญกุศลมันซับลงที่ใจ ใจเป็นความรู้สึก กาลเวลามันกินชีวิตเราไปทุกวันๆ นะ คนที่ทำงานเสร็จแล้ว อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ๔๕ ปี เป็นกำไรทั้งชีวิตเลย เพราะจิตนั้นมันไม่มีกาลเวลา ไม่มีกาลเวลาจริงๆ นะ ใจผู้ที่พ้นแล้วกาลเวลาไม่เกี่ยว เข็มนาฬิกาเดินไปเฉยๆ เราไม่ไปสนใจกับมัน

แต่สำหรับเรา เข็มนาฬิกาเดินไป ทำให้เราต้องรีบขวนขวาย เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวค่ำ เราจะเอาอะไรกิน เราจะเอาอะไรรองท้อง เราต้องหาสิ่งที่จะไปรองท้องเราเพื่อเย็นเพื่อค่ำต่อไปในอนาคตของเรา เราห่วงอนาคตนะ แต่เราลืมไปว่าอดีตที่เราทำมา เราทำมาอย่างไร สิ่งที่สะสมมา เราสร้างสมมา นี่อดีต ชีวิตปัจจุบันเหมือนกับในอดีตที่เราเคยเกิดเคยตายมา แต่เราอยู่ในสถานะไหน สถานะของสัตว์เดรัจฉาน สถานะของมนุษย์ สถานะของเทวดา ก็มีการทำดีทำชั่วเหมือนกัน การทำคุณงามความดีเป็นกุศล มันถึงขับไสให้เราเกิดมาในช่วงจังหวะอย่างนี้ เห็นไหม

จังหวะอย่างนี้มันมีโอกาสน้อยมากนะ ที่จังหวะเกิดมาแล้ว ศาสนาเจริญรุ่งเรือง แล้วมีผู้บุกเบิก มีผู้พากระทำ สิ่งที่มีผู้พากระทำ ทำไปให้เห็นประโยชน์ของมัน ให้เห็นประโยชน์ของกาลเวลา ชีวิตเราหมุนไปตามเวลาเลย แล้วก็หมุนไป ขวนขวายไปตลอดชีวิต เวลาทำให้เราสิ้นสุดไปตลอดชีวิต ถ้าเราไม่คิดถึงคุณงามความดี คุณงามความดีอะไร

พระเจ้าพิมพิสารถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ทำบุญกุศลคืออะไร”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า แม้แต่เราล้างถ้วยล้างจาน สาดน้ำล้างจานลงไปในน้ำในหนอง แล้วสัตว์พวกตัวหนอนได้กิน นั้นก็เป็นทานแล้ว ทานคือว่าเราสาดน้ำไป เราทำอะไรไป มันเป็นทานหมด ผู้ที่ได้รับส่วนประโยชน์จากเรานั้นน่ะเป็นทาน นี่คือทำทาน

แต่ทำแล้วจะให้ผลดีที่ไหน พระเจ้าพิมพิสารถามต่อ ถ้าให้ผลนั้นมันต้องพูดกันอีกชั้นหนึ่ง ผลชั้นไหนหมายถึงว่า การที่ว่าเราได้ผลมาก ปฏิคาหก ผู้ที่รับ รับด้วยความบริสุทธิ์ ถึงว่าศีล ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้าผู้มีศีลขึ้นมา ศีลบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จากไหน เราถือศีลบริสุทธิ์ไหม เวลาเราขอศีลขึ้นมานี่เราจะบริสุทธิ์ไหม เราขอศีลขึ้นมาเราก็ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติ แต่เราก็พลั้งเผลอไป ใจของเรายังพลั้งเผลอไป ถ้ามันยังไม่ปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา แล้วก็ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไม่เห็นผลหรอก

พระปฏิบัติเราอยู่ในป่าในเขา เวลาธุดงค์ไปนี่ธุดงค์จริงๆ ธุดงค์ไป เดินเข้าป่าเข้าเขาไป ไปอยู่กับสิ่งที่ว่าลึกลับในป่าในเขา อยู่กับช้าง อยู่กับสัตว์ร้ายในป่าในเขา ศีลมันจะให้คุณประโยชน์ขึ้นมาตรงนี้ ถ้าเราถือศีลของเรา เราอยู่ในเมือง เราอยู่ในที่ชุมชน เราไม่ห่วงศีลของเราหรอก ศีลของเราทำอะไรมันก็ไม่เห็นผล แล้วประพฤติปฏิบัติมันก็จะไม่เห็นผล

ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ศีลบริสุทธิ์ นี่มโนกรรม คิดอกุศลก็ผิดศีลแล้ว ผิดศีลในการผิดมโนกรรม กรรมคิดผิดออกไป มันผิดจากความคิดของเรา มันทำให้เราฟุ้งซ่านใช่ไหม ถ้าเราคิดเป็นบุญกุศลมันจะมีความสุขไหม คิดเป็นบุญกุศล คิดสิ่งที่เราทำขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์กับเรา เราจะภูมิใจ เราจะอิ่มใจ อุ่นใจในหัวใจของเรา ถ้าใจของเรามีความสุข มีความอิ่มใจ นั่นน่ะบุญกุศลเกิดขึ้นตรงนั้นน่ะ ตรงที่มีศีล มันมีความชุ่มชื่นของใจ แล้วไปทำสมาธิมันจะง่ายไหม นี่ศีล สมาธิ แล้วเกิดปัญญา

ถ้าศีลเราไม่บริสุทธิ์ ศีลเราไม่ดี การประพฤติปฏิบัติก็ทำให้เราแห้งแล้งไป แล้วทำให้เราลังเลสงสัย ทำให้เรามีปมมีปุ่มในหัวใจนะ มีปมในใจนี่มันคิดแล้วมันก็คิดตั้งแต่ตรงนั้นน่ะ คิดว่าสิ่งนั้นจะมากวนใจตลอดเวลา แล้วมันจะมีความสงบมาจากไหน สมาธิมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะมีคุณค่ามากต่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ภาวนาใจให้มันสงบ ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันจะต้องไม่มีสิ่งนี้มากวนใจ ถ้าไม่มีสิ่งนี้มากวนใจ ใจมันก็จะเริ่มเปิดทางให้เราเป็นไป บุญกุศลเกิดจากตรงนี้ ตรงขึ้นมาจากภายนอก เจตนาเกิดคิดเป็นบุญกุศล มันก็ทำให้เรามา ศรัทธาความเชื่อทำให้เรามาทำทาน เพราะหัวใจเรา เรามีใจในร่างกายของเรา แล้วใจในร่างกายของเราคิดคุณงามความดี เจตนาสร้างสมคุณงามความดี อันนี้เป็นบุญของเรา สร้างบุญกุศลแล้วมันต้องให้ผลบุญกุศล

เวลาพระอาทิตย์ขึ้นออกมา กลางวันมันร้อนมาก เวลากลางคืนขึ้นมา แสงจันทร์ขึ้นมาจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เวลาความแผดเผาของใจ ความร้อนนั้น เห็นไหม ความอยากจะไม่มีประโยชน์เหรอ ความอยากมันก็เป็นประโยชน์ ถ้าเราไม่มีความอยาก เราจะสร้างบุญกุศลไหม เราจะจงใจทำคุณงามความดีของเราไหม อันนี้ก็เป็นความอยาก

แต่แสงอาทิตย์เวลาขึ้นมา พระอาทิตย์มันร้อน แต่มันให้ประโยชน์กับพืช ให้ประโยชน์กับสิ่งต่างๆ ให้ประโยชน์กับสิ่งมีชีวิต ถ้าไม่มีแสงพระอาทิตย์ขึ้น เราจะไม่มีสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ เราจะดำรงชีวิตได้อย่างไร นี้ความอยากขึ้นมา แต่พระพุทธเจ้ามาพลิกตรงนี้ ผู้ที่ฉลาดใช้ทุกอย่างเป็นประโยชน์เลย ถ้าผู้ที่ไม่ฉลาดจะใช้สิ่งต่างๆ ให้เป็นโทษกับตัวเอง

นี่ความอยาก อยากในมรรค อยากให้ทันกับกาลเวลา เวลาที่มันหมุนไป เราต้องหมุนไปตามมันนะ หมุนไปตามมันแล้วเราก็วิ่งตามมันไป แล้วเราก็ไม่รู้อะไร นี่คนมืดบอดน่าสงสารมาก คนไม่คิดถึงบุญกุศล คิดแต่จะทำมาหากิน พยายามขวนขวายให้พออยู่พอกินของเราได้ มันก็มีความทุกข์ในหัวใจ มีพออยู่พอกินปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย ถ้าเราขาดแคลนขนาดไหน ก็พึ่งพาอาศัยกันได้ โลกนี้พึ่งพาอาศัยกันได้ แต่เรื่องของหัวใจมันพึ่งพาอาศัยกันที่ไหน ถึงว่าเป็นปัจจัตตังไง

ต่างคนต่างต้องขวนขวาย ต่างคนต่างต้องทำเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์เดชขนาดไหน มีฤทธิ์เดชมาก รู้ทั้งโลกนอกโลกใน แม้แต่อินทร์ พรหมต้องมาเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้พวกนั้นช่วยเหลือพวกสัตว์โลกล่ะ

ช่วยเหลือสัตว์โลกไม่ได้ เพราะสัตว์โลกมีแต่ความมืดบอด มีแต่ความคิดเห็นของตัวเองไป ความคิดเห็นจะทำอะไรก็ทำตามใจของตัวเอง แล้วว่าตัวเองฉลาด กิเลสมันปิดตาไว้ มันมืดบอดแล้วก็ว่าตัวเองฉลาด ฉลาดอยู่ในโลกนี้ จะขวนขวายขนาดไหน หามาอย่างไร ด้วยความทุจริตขนาดไหนก็จะให้สมประโยชน์ของเรา แล้วมันจะเป็นความดีของเรา...เป็นความดีมาจากไหน ความดีนั้นทำให้เราขุ่นข้องหมองใจไป มันปิดบังใจเราไม่ได้ เราทำสิ่งใดไว้เราจะรู้ตลอดเวลา เราจะเข้าใจของเราตลอดเวลา

แล้วเวลาเราจะต้องใช้ ต้องตายไปจากโลกนี้ ต้องเป็นไป มันจะเผาลนใจของเรา ใจมันจะเร่าร้อน ใจมันจะคิดของมันไป นั่นน่ะกรรมนิมิตมันเกิด เวลาคนจะตาย ดูว่าไปสุคติไปทุคติ ดูกันตรงนี้ ตรงที่ว่าใจไปสงบไหม ไปด้วยความดีไหม นั่นน่ะบุญกุศลถ้าเราทำคุณงามความดีไว้ เวลาเราไป เราจะไปด้วยความสงบ ไปเกิดในภพชาติใหม่ ถ้าเรายังต้องเกิดต้องตายอีก

จิตนี้ไม่มีวันดับ ใจดวงนี้มันมีความรู้สึกตลอดไป ความรู้สึกนี้ให้มันหยุดความรู้สึกไม่ได้ มันจะมีความรู้สึกตลอดไป ธาตุรู้นี้มันต้องหมุนเวียนไป มันต้องไปเกิดของมันข้างหน้า แล้วถ้ามันเป็นบุญกุศลพาเกิด มันก็จะเกิดเป็นคุณงามความดี ถ้าเป็นอกุศลพาเกิด เวลาก่อนตาย กรรมนิมิตมันเกิดขึ้นมา มีแต่คนมาทำลาย มีแต่คนจะมาบีบบี้สีไฟให้ใจนี้เร่าร้อนไป

นั่นน่ะ เวลาแก้ไขไม่ได้ต้องเป็นแบบนั้น แต่ถ้าคนเราลืมตาขึ้นมา เริ่มมีทาน มีศีล มีภาวนา การภาวนาเท่านั้นที่จะแก้ไขตรงนี้ได้ ภาวนาแก้ไขใจของเรา ถ้าแก้ไขใจของเรา พลิกเปลี่ยนแปลงตรงนั้นน่ะ บาปอกุศลทุกคนเคยทำมา สิ่งที่เป็นความผิดพลาดในหัวใจมันมีอยู่ แต่มันตัดได้อย่างไร ตัดด้วยการภาวนา

การภาวนาทำความสงบของใจเข้ามา มันสงบเข้ามาๆ แล้วใช้ปัญญาไปตัด ตัดสิ่งนี้ ตัดสิ่งที่มันเป็นปมเป็นปุ่มในหัวใจ ตัดออกไป พยายามพรากออกไป ดึงใจของเราให้เป็นอิสระ มันจะเป็นอิสระเข้ามาด้วยภาวนามยปัญญา จะไม่เป็นอิสระเข้ามาด้วยจินตมยปัญญา ด้วยโลกียะ ด้วยฌานโลกีย์ สิ่งนั้นมีโดยธรรมชาติของมัน แต่เราต้องขับไสขึ้นมา ธรรมจะเกิด เกิดตรงนี้ ถ้าธรรมตรงนี้ไม่เกิด ธรรมะไม่เกิดหรอก

ธรรมะของเราเป็นบุญกุศล เราปฏิบัติบูชา ได้บุญกุศลในการประพฤติปฏิบัติบูชาไป ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่บุญกุศลเกิดขึ้นจากเรา ใจดวงนี้จะได้บุญกุศลจากตรงนั้น แต่บุญกุศลนั้นมันก็ขับเคลื่อนไป มันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิส บุญกุศลเกิดขึ้นในนรกสวรรค์ก็แล้วแต่ มันต้องหมดชีวิตออกไป มันก็หมุนเวียนไป อันนี้เป็นอามิส อามิสคือการใช้แล้วหมดไป เหมือนน้ำมันเติมในรถ เวลารถวิ่งไป น้ำมันมันจะหมดไปๆ บุญกุศลนี้หมดเขตหมดสมัยได้ แต่การภาวนาของใจ มันชำระกิเลส มันไม่หมดกาลเวลา มันเป็นเนื้อของใจ มันเป็นสิ่งที่ว่าน้ำมันในรถที่เติมแล้วไม่มีวันหมดจากรถเลย เต็มอยู่ในรถตลอดเวลา ขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา มันมหัศจรรย์ไหม ใจมันเต็มไง ถ้าใจมันเต็ม ความขับเคลื่อนของใจมันพอตลอดเวลา มันเป็นอิสระด้วย ไม่เป็นทาสของกาลเวลา เราต้องเป็นกาลเวลานะ เวลานี้ต้องหมุนเวียนไป

มันน่าคิด เราเกิดมาตั้งแต่เด็กแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วเราต้องตายไป แล้วเราก็จะไปเจอสภาวะแบบนี้ เกิดขึ้นมาตั้งอยู่แล้วก็ดับไป จะเจอสภาวะแบบนี้ตลอดไปๆ แล้วเราก็ไม่ลืมตา ไม่หาทางออกของเรา เราจะวนอยู่ในโลกนี้ เหนื่อยไม่เหนื่อย ทุกคนบอกว่าเหนื่อย ชีวิตนี้เป็นอย่างไร ชีวิตนี้ขึ้นมามีความสุข มีความจินตนาการ เป็นอามิส เกิดขึ้นจากความพอใจ แต่มันสุขชั่วครั้งชั่วคราวอยู่อย่างนั้น แต่ความทุกข์มีมากกว่า แต่ความสุขจริงๆ ก็มีอยู่ในหัวใจของเรา แต่เราไม่หา เราไม่ทำกัน นี่คนมืด มืดตรงนี้

แต่คนที่สว่าง สว่างอย่างไร สว่างทำทาน ทำสมาธิของเรา พยายามเห็นขึ้นมา แล้วโลกเขาจะติเตียนอย่างไร นั่นมันปากของโลก คนโง่ในโลกนี้มีมหาศาล แล้วคนโง่ในโลกนี้จะพูดประสาคนโง่ คนโง่จะเป็นตัวอย่างกับเราไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้เปิดตาขึ้นมาก่อน มีคนส่วนน้อย “เขาโคกับขนโค” เขาโคมี ๒ เขาในตัวโคนั้น ขนโคมีมหาศาลเลย นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่จะชักนำให้เราออกขนาดไหน แล้วเราจะเป็นเขาโคได้ แล้วใครมันจะเชื่อเรา ขนโคไม่เชื่อว่าเขาโคจะมีอำนาจเหนือมัน นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อความคิดของเขา เขาจะว่าเห็นแก่ตัว จะเอาตัวรอด

ขอให้มันเห็นแก่ตัวจริง เอาตัวรอดได้จริง นั้นประเสริฐ ถ้าเอาตัวรอดได้จริงเพราะใจดวงนั้นมันรอดได้จริง แต่นี่เอาตัวรอดไม่ได้ พยายามกระเสือกกระสนไปขนาดไหน มันก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะกิเลสในหัวใจของเรามีอำนาจเหนือกว่า แต่เดิมก็คนอื่นติฉินนินทาเราก่อน พอเรามาประพฤติปฏิบัติ ในหัวใจของเรามันก็เริ่มหลอกตัวเอง ทำประพฤติปฏิบัติไปแล้วโอกาสของเราจะเป็นอย่างไร ชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร ลังเลสงสัยไปทั้งหมด

ขอให้บวชอยู่เถิด ครูบาอาจารย์บวชอยู่ในศาสนาพุทธ มีบาตรใบเดียวนี่มันเลี้ยงชีวิตได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ประเสริฐที่สุดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ตั้งแต่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มีบาตร ๔ ลูก อธิษฐานเป็นบาตรลูกเดียว แล้วบิณฑบาตตั้งแต่วันนั้นจนวันปรินิพพานไป นี่ดำรงชีวิต วางสิ่งนี้ไว้ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ไม่มีอาชีพ เป็นผู้มีศีล ประพฤติศีลในหัวใจขึ้นมาแล้ว จิตใจนี้มันมีศีลในหัวใจ แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตไป ให้เขาหาอาศัย มันเป็นไปได้ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ การดำรงชีวิตมันเป็นไปได้ อันนี้มันเรื่องภายนอก

แต่เรื่องของใจเอาไว้ไม่อยู่ เอาใจของตัวเองไว้ไม่อยู่ เอาความคิดของตัวเองไว้ไม่อยู่ มันคิดเดินก่อนกาลก่อนเวลาไป คิดแต่ล่วงหน้าไป เราจะเป็นอย่างนั้นๆ ปัจจุบันนี้ไม่ดู ปัจจุบันนี้เอาตัวเองทำอย่างไร ปัจจุบันนี้ทำความสงบของใจได้ไหม ปัจจุบันนี้เราทำอย่างไร ถ้าปัจจุบันนี้ทำได้ นั่นน่ะมันชำระกิเลสได้ตรงนี้ ตรงนี้เป็นปัจจุบัน นี่มันละเอียดอ่อนมาก

เราห่วงอดีต ห่วงอนาคต ห่วงไปทุกอย่าง แล้วไม่สมประโยชน์ ผู้ที่ปล่อยวางทั้งหมดแล้วเอาปัจจุบัน วันนี้ดี วินาทีนี้ดี บุญกุศลอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่แก้ไขปัจจุบัน ปัจจุบันแก้กิเลสได้ แก้ไขตรงปัจจุบันธรรมแล้ว อยู่กับปัจจุบันธรรม ไม่มีกาลเวลา พระอรหันต์นั้นเป็นผู้มีราตรีเดียว พรุ่งนี้ก็ไม่มี มะรืนก็ไม่มี อดีตก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี อยู่กับปัจจุบัน นี่อยู่กับปัจจุบันอย่างนี้ มันไม่เคลื่อนไป จิตนี้ไม่เคลื่อนไป มีความสุขไหม

เราไม่อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันอยู่นี้ อยู่ตรงนี้ไม่เคลื่อนไป แต่เราเคลื่อนไปตลอด เราถึงมีความทุกข์ไง แก้ไขตรงนี้ ปัญญาจะเกิดตรงนี้ แล้วชำระกิเลสได้ตรงนี้ นี้ผู้ที่มีแสงสว่างในหัวใจของตัวเอง จะเอาตัวรอดได้ จะเอาตัวรอดจากความทุกข์ได้ ไม่ใช่เอาตัวรอดจากสิ่งอื่น

โลกเป็นอย่างนี้ตลอดไป เขาจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่ความสุขความทุกข์อยู่ในใจเรา เราแก้ไขได้ อย่างอื่นก็เรื่องของเขา เรื่องของเราก็เรื่องของเรา ต่างอันต่างจริงอยู่ในโลกนี้ ต่างอันต่างที่ว่าไม่กดขี่กัน แต่สิ่งต่างๆ นี้มันมีอำนาจเหนือเรา แล้วกดขี่เรา เราถึงทุกข์ตลอดไป เอวัง